วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เกณฑ์การประเมิน

การประเมิน หมายถึง กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจในการพัฒนางานต่าง ๆ โดยเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด

เป้าของการประเมินหรือสิ่งที่มุ่งประเมิน
สิ่งที่ต้องการประเมิน (Object of Evaluation) เป็นสิ่งที่ผู้ประเมิน มุ่งตัดสินคุณค่า ซึ่งมีหลายระดับ แต่ละระดับสัมพันธ์และเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกัน โดยมุ่งสู่สิ่งสูงสุดเดียวกัน คือ สังคม จุดมุ่งหมายของการประเมิน เป็นความคาดหวังจากการประเมิน 2 ลักษณะ คือ
- วัตถุประสงค์ของการประเมิน หมายถึง สิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดขึ้น หรือสิ่งที่ต้องจัดทำให้ปรากฏในการประเมิน ซึ่งได้แก่ "การตัดสินคุณค่า" ของสิ่งที่มุ่งประเมิน
- เป้าหมายของการประเมิน หมายถึง จุดหมายปลายทางของการดำเนินงาน คือ "การพัฒนาคุณค่า" ของสิ่งที่มุ่งประเมิน

บทบาทของการประเมิน
ลักษณะความต้องการสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารเป็นตัวกำหนดบทบาทของการประเมิน (Role of Evaluation) ซึ่งสามารถจำแนกเป็นบทบาทที่สำคัญได้ 2 บทบาท คือ การเสนอสารสนเทศระหว่างการดำเนินงาน (Formative) และหลังสิ้นสุดการดำเนินงาน (Summative)

ประเด็นการประเมิน ก็คือสิ่งที่จะบ่งชี้ว่าวัตถุประสงค์นั้นสำเร็จหรือไม่ เป็นการดูกว้าง ๆ ยังไม่ถึงตัวชี้วัด จากประเด็นจะโยงมาถึงตัวชี้วัด เกณฑ์ คือ ปริมาณหรือคุณภาพขั้นต่ำที่จะยอมรับได้ของแต่ละตัวชี้วัด หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ตัวชี้วัด จะมาคู่กับสิ่งที่เรียกว่า เกณฑ์ (ศิริเดช สุชีวะ 2548: 175-177)

ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด หรือตัวบ่งชี้ (Indicator) ในภาษาไทยมีใช้อยู่หลายคำ เช่น ดัชนี ตัวบ่งชี้ ตัวชี้วัด เครื่องชี้วัด เป็นต้น
หมายถึง สิ่งต่าง ๆ หรือลักษณะต่าง ๆ ที่ระบุถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเด็นที่ต้องประเมิน (สุวิมล ตริกานนท์ 2549: 86)
หมายถึง ตัวประกอบ ตัวแปร หรือค่าที่สังเกตได้ ซึ่งใช้บ่งบอกสถานภาพหรือสะท้อนลักษณะการดำเนินงานหรือผลการดำเนินงาน (ศิริชัย กาญจนวาสี 2545: 84)
หมายถึง สิ่งที่บอกสภาพ หรือสภาวะในลักษณะใดลักษณะหนึ่งในเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพของสถานการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นการนำข้อมูลหรือตัวแปรหรือข้อความจริงมาสัมพันธ์กันเพื่อให้เกิดคุณค่าหรือคุณค่าที่สามารถชี้ให้เห็นลักษณะของสภาพการณ์นั้น ๆ (ผดุงชัย ภู่พัฒน์ 2545: 170)
สรุปความหมายของตัวชี้วัด ได้ว่า หมายถึง สิ่งที่สามารถวัดหรือสังเกตได้เพื่อบอกสภาพทั้งในเชิงประมาณ หรือเชิงคุณภาพในประเด็นที่ต้องการประเมิน
คุณสมบัติที่ดีของตัวชี้วัด (ผดุงชัย ภู่พัฒน์ 2545: 174)
1) สอดคล้องกับประเด็นที่ต้องการวัด มีความตรง (validity) และมีความเที่ยง (reliability)
2) เป็นรูปธรรม วัดหรือสังเกตได้อย่างชัดเจน
3) มีความเชื่อถือได้และได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง
4) มีความไวต่อความแตกต่าง (sensitivity) (วัดความแตกต่างระหว่างหน่วยวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง)

ลักษณะของตัวชี้วัดทางการศึกษา ควรมีลักษณะสำคัญ 5 ประการ คือ (เพชรา พิพัฒน์สันติกุล 2548: 235)
1) ให้สารสนเทศเกี่ยวกับสภาพที่ศึกษาอย่างกว้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องละเอียด แต่มีความถูกต้อง แม่นยำ
2) มีลักษณะเป็นตัวแปรรวม สร้างขึ้นจากการรวมตัวแปรที่ให้สารสนเทศแต่ละด้าน (facet)
3) ค่าของตัวชี้วัดแสดงถึงปริมาณและการแปลความหมายซึ่งมีการเปรียบเทียบกับเกณฑ์/มาตรฐานที่กำหนด
4) ให้สารสนเทศ ณ จุดเวลา/ ช่วงเวลาเฉพาะ เมื่อนำตัวชี้วัดจากช่วงเวลาหลายจุดมาเทียบกัน โดยสามารถแสดงสภาพการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ต้องการศึกษาได้
5) เป็นหน่วยพื้นฐาน(units) สำหรับการพัฒนาทฤษฎีสำหรับศาสตร์ทุกสาขา

เกณฑ์
คำว่า "เกณฑ์" (criteria)
พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน 2551: 99) ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง หลักการหรือมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อประเมินค่าเรื่องต่าง ๆ ว่ามีคุณสมบัติตามที่ต้องการหรือไม่
หมายถึง สิ่งที่ใช้เป็นหลักสำหรับการตัดสินใจ (บุญศรี พรหมมาพันธุ์ 2551: 40)
หมายถึง ปริมาณหรือคุณภาพขั้นต่ำที่จะยอมรับได้ของแต่ละตัวบ่งชี้ (ศิริเดช สุชีวะ (2548: 177)
หมายถึง ระดับที่ใช้ในการตัดสินความสำเร็จของการดำเนินงานตามตัวบ่งชี้ที่กำหนด (สุวิมล ว่องวาณิช 2544: 75)
หมายถึง หลัก หรือมาตรฐานที่ใช้ในการเลือกหรือตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Trumble and other 2000: 492)
สรุปได้ว่า เกณฑ์ หมายถึงข้อกำหนดที่ใช้ตัดสินคุณภาพของการดำเนินงานหรือผลประกอบการที่ได้
คุณลักษณะของเกณฑ์การประเมินที่ดี
1) มีความท้าทายและเป็นไป
2) สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3) ได้รับการยอมรับจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(ผดุงชัย ภู่พัฒน์ 2545: 185-187, บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และคนอื่น ๆ 2547: 99-100)

เกณฑ์ที่เหมาะสมควรผันแปรอยู่ระหว่างปกติวิสัย(norms) และมาตรฐาน(standard)

โมเดลในการกำหนดเกณฑ์
1) โมเดลความงอกงาม (growth model) เป็นการพิจารณาพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น เช่น การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนหลังเรียนกับก่อนเรียน อาจทำได้ 2 ลักษณะคือ
(1) คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่
(2) กำหนดช่วงคะแนนที่เพิ่มขึ้น
2) โมเดลสัมบูรณ์ (absolute model) เป็นการกำหนดโดยหลักเหตุผล โมเดลนี้ มีอำนาจในการทำนายสูง จะใช้ความเห็นของผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กำหนดขึ้น หรืออาจกำหนดโดยอาศัยกฎเกณฑ์
3) โมเดลสัมพัทธ์ (relative model) เป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมของกลุ่ม
(1) การเปรียบเทียบกันเองภายในกลุ่ม
(2) การเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นที่คล้ายคลึงหรือเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
(3) การเปรียบเทียบกับค่าที่ทำนายไว้ (predictive criterion)
(บางที่จำแนกเป็น 2 แบบโดยรวม โมเดลความงอกงามไว้ในโมเดลสัมพัทธ์)

การเลือกโมเดลการกำหนดเกณฑ์การประเมินต้องให้เหมาะสม และสอดคล้องกับธรรมชาติของเป้าหมายในการประเมิน ควรพิจารณาบริบท และช่วงระยะที่ทำการประเมิน เป็นสำคัญ เช่นการประเมินผลของโครงการ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเฉพาะของโครงการ ควรใช้เกณฑ์สัมบูรณ์ตามมาตรฐานการปฏิบัติของโครงการนั้น ๆ แต่การประเมินในขั้นของการสรุปผลหลังการดำเนินโครงการควรใช้เกณฑ์สัมพัทธ์เพื่อให้ทราบถึงมาตรฐานของโครงการ เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน


การตั้งเกณฑ์สัมบูรณ์ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้เทียบกับใคร เป็นเกณฑ์ที่ผู้ประเมินตั้งขึ้นเองข้อพิจารณาเกี่ยวกับการตั้งเกณฑ์สัมบูรณ์มีที่มาจาก 4 แหล่งใหญ่ ๆ คือ
1. ดูจากมาตรฐานวิชาชีพของเรื่องนั้น
2. กำหนดจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้น
3. กำหนดเกณฑ์จากการคาดคะเนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
4. เกณฑ์ได้มาจากปกติวิสัย (norm) เช่น เกณฑ์การตัดสินระดับสติปัญญาของคน ที่วัด IQ IQ เท่าไรจึงจะแปลว่ามีความฉลาด โดยเทียบกับคนส่วนใหญ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น